“ด้านการให้คำปรึกษานักศึกษาในการดำเนินงานวิทยานิพนธ์”

ความรู้เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์

           การให้คำปรึกษาเป็นสัมพันธภาพระหว่างบุคคล 2 คน คนหนึ่ง คือผู้รับคำปรึกษามีความต้องการที่ได้รับโอกาสในการพูดถึงปัญหาของตนเอง ส่วนอักคนหนึ่งคือผู้ให้คำปรึกษามีความไวต่อความรู้สึก และมีวุฒิภาวะที่จะตระหนักถึงความไม่สบายใจและความขัดแย้งในใจของผู้มาขอรับคำปรึกษา การให้คำปรึกษาผู้รับคำปรึกษาต้องการความช่วยเหลือเพื่อให้ผู้รับคำปรึกษาเข้าใจตนเอง ได้ปรับปรุงทักษะในการตัดสินใจ และทักษะในการตัดสินใจ ทักษะในการแก้ปัญหา ตลอดจนปรับปรุงความสามารถของตนเอง ในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำวิจัยก็เช่นเดียวกัน จำเป็นที่ผู้ให้คำปรึกษาต้องมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่คำจำกัดความของการให้คำปรึกษา แต่ยังขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิด และทัศนคติของผู้ให้คำปรึกษาแต่ละคนด้วยว่าจะเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์เพียงใด

การจัดการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา จัดว่าเป็นการศึกษาที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการเตรียมนักศึกษาให้มีความรู้และทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยปัญญาโดยใช้กระบวนการวิจัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จำเป็นต้องมีระบบในการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพ

 

กระบวนการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์ประกอบไปด้วย

           1) การแต่งตั้งอาจารย์ที่ปรึกษา

           2) การบริหารงานที่ปรึกษา

           3) การติดตามกำกับการทำวิจัย

           4) การประเมินผลงานวิจัย

           5) การให้คำปรึกษาในการพิมพ์เผยแพร่งานวิจัย

 

บทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษา

  • เป็นพี่เลี้ยงอย่างเข้มแข็ง (active mentor)
  • เป็นที่ปรึกษาแนะนำ (advisor)
  • เป็นอาจารย์ผู้สอน(tutor)
  • เป็นผู้วิจารณ์(critic)
  • เป็นต้นแบบ(model)
  • เป็นผู้ประเมิน (evaluator)
  • เป็นผู้ร่วมงานวิจัย (research colleague)

 

 

แนวปฏิบัติที่ดีในการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์

ในการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์มีขั้นตอนที่สำคัญๆ ดังนี้

  1. การสำรวจความสนใจและการกำหนดหัวข้อวิจัย อาจารย์ที่ปรึกษาและนักศึกษาต้องกำหนดแผนการเรียนร่วมกันและควรสำรวจความสนใจของนักศึกษาว่าสิ่งที่นักศึกษาสนใจจะพัฒนาเป็นงานวิจัยได้อย่างไร
  2. ในการจัดทำกรอบแนวคิดในการวิจัย ต้องมีการจัดสัมมนา หรือจัดประชุมเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้พบกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ หรือรุ่นพี่ เพื่อชี้แนะแนวทางในการค้นคว้าเอกสารเพื่อนำมากำหนดกรอบการวิจัย
  3. ขั้นการจัดทำโครงร่างวิจัยอาจารย์ที่ปรึกษาต้องเสนอแนะให้นักศึกษาเสนอโครงร่างตามรูปแบบที่บัณฑิตวิทยาลัยกำหนด ให้คำแนะนำ ชี้แนะ หรือสอนแนะ ติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่อง
  4. การเสนอขออนุมัติโครงการวิจัย อาจารย์ที่ปรึกษาควรต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมการดำเนินงานของนักศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบ และจรรยาบรรณของนักวิจัย ไม่คัดลอกผลงาน ไม่จ้างทำผลงาน และต้องกำหนดเวลาของการดำเนินงานโครงการให้ชัดเจน ตลอดจนควบคุมให้เป็นไปตามกำหนดเวลา
  5. ขั้นดำเนินการวิจัย ต้องให้ความช่วยเหลือนักศึกษานักศึกษาทุกขั้นตอนแม้กระทั่งกระบวนการที่ง่ายจนถึงขั้นของการปฏิบัติที่ยาก ตลอดจนต้องพยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคที่จะเกิดและแนวทางที่จะแก่ไขช่วยเหลือนักศึกษา ทุกขั้นกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดกลุ่มตัวอย่าง การสร้างเครื่องมือ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนการแปลความหมายของข้อมูล
  6. ขั้นการเขียนสรุปรายงานการวิจัยอาจารย์ที่ปรึกษาต้องให้คำวิพากษ์ วิจารณ์ อย่างใช้วิจารณญาณโดยต้องระวังไม่ให้ข้อวิจารณ์ของตนเอง ไปสกัดกั้นความคิดของผู้วิจัยต้องช่วยให้นักศึกษาคิดและเขียนให้สัมพันธ์กับปัญหาของการวิจัย และตอบข้อสงสัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
  7. ขั้นการสอบปากเปล่า ในขั้นนี้เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยของนักศึกษา และเป็นการประเมินผลงานวิจัยโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมีส่วนร่วมในการประเมิน ดังนั้นที่ปรึกษาต้องสามารถช่วยเหลือนักศึกษาผ่านความเครียดไปได้โดยการช่วยนักศึกษาวางโครงสร้างของการสอบ และการนำเสนอให้ เป็นที่ชื่นชมของคณะกรรมการสอบ

8. ขั้นเผยแพร่ผลงานวิจัย ต้องนำผลงานวิจัยของนักศึกษาตีพิมพ์เผยแพร่ในแหล่งข้อมูลที่หลากลายทั้งในที่ประชุมวิชาการระดับชาติ นานาชาติ ในวารสารที่อยู่ในฐาน TCI ให้ได้ 100%

“การตีพิมพ์เผยแพร่เผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ”

ความรู้ด้านการวิจัย

          การวิจัยโดยทั่วไป เป็นกระบวนการของการแสวงหาความรู้ ความจริง ความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่ต้องการศึกษาค้นคว้า โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ตีความหมายของข้อมูลที่เป็นผลลัพธ์ของการศึกษาค้นคว้าเพื่อการวิจัย ในกระบวนการศึกษาต้องเป็นการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มีระเบียบแบบแผนเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่   สร้างวิธีการทำงานใหม่ๆ ซึ่งทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการ และเกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ โดยต้องอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่เชื่อถือได้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณะ เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์จากผลการวิจัยอย่างแท้จริง

 

ปัจจัยเกื้อหนุนที่สำให้การวิจัยประสบความสำเร็จ

  1. ด้านเวลาผู้วิจัยควรได้รับการสนับสนุนด้านเวลาที่เอื้อต่อการทำวิจัย โดยอิสระ ไม่ถูกจำกัดขอบเขต ในการลงสู่สนามวิจัยเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูล และการทดลองใช้นวัตกรรม
  2. ด้านงบประมาณ งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุน ควรมีจำนวนเพียงพอต่อการ บริหารงานโครงการวิจัยและไม่ถูกจำกัดขอบเขตของการเบิกจ่ายงบประมาณ
  3. ปัจจัยด้านบุคลากร บุคลากรที่ทำงานวิจัยต้องมีองค์ความรู้ของกระบวนการวิจัย อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้การทำวิจัยเป็นวิจัยที่มีคุณค่า
  4. เอกสาร ตำรา งานวิจัย เพื่อใช้ในการค้นคว้าต้องมีเพียงพอและครอบคลุมประเด็นศึกษาอ้างอิง

รูปแบบการเผยแพร่ผลงานวิชาการในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการกระทำได้หลายรูปแบบอาทิ การเขียนการเสนอด้วยสื่อรายงานฉบับสมบูรณ์รายงานฉบับย่อป้ายนิเทศ (BulletinBoard)บทความต้นฉบับทางวิชาการการทำแผ่นภาพโปร่งใสการทำโปสเตอร์การบรรยาย(poster)การอบรมเผยแพร่ทั่วไปการประชุมเชิงวิชาการการเรียนการสอน

การเขียนต้นฉบับทางวิชาการ ควรกระชับเน้นผลการวิจัยที่สำคัญๆ หลักเกณฑ์ทั่วไปของการเขียนต้นฉบับทางวิชาการ (Manuscript)หน้าแรกส่วนชื่อเรื่อง (Title Page)ชื่อเรื่องต้องมีความเหมาะสมกับ section ของวารสารที่ส่งไป (วารสารบางเล่มมีการแบ่ง section เป็นเฉพาะส่วนที่เน้นเนื้อหาแต่ละด้าน)การเขียนชื่อผู้แต่งและชื่อผู้แต่งร่วมต้องให้สอดคล้องกับ format ของวารสารแต่ละเล่มเช่นใช้ชื่อแรกขึ้นก่อนหรือชื่อหลังขึ้นก่อนเป็นต้นมีที่อยู่ที่ติดต่อได้และ e-mail address ของผู้แต่งทุกคน

แนวทางปฏิบัติที่ดีในการทำวิจัยและการเผยแพร่ตีพิมพ์บทความวิจัย/บทความวิชาการ

  1. เลือกหัวข้อที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหา หรือพัฒนาองค์กรได้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อทำให้มีผลงานตามภาระงาน หรือทำเพื่อผลรางวัลในการนำเสนอเท่านั้น
  2. สร้างทีมงานในการวิจัยที่เข้มแข็งโดยเฉพาะกรณีผู้ทำวิจัยไม่มีประสบการณ์ด้านการวิจัย
  3. การหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากภายนอกและสร้างเครือข่ายในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัย
  4. ควรมีการตรวจสอบ Literature review ด้วยระบบของโปรแกรมตรวจสอบ ทั้งงานวิจัยของอาจารย์ และงานวิจัยของนักศึกษา

5. การเขียนต้นฉบับทางวิชาการ ควรกระชับและเน้นหลักเกณฑ์

ประเด็นความรู้ด้านการเรียนการสอน” …………………………………………………………………………………………………………..

ด้านอาจารย์ผู้สอน

อาจารย์ผู้สอนเป็นบุคคลสำคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุจุดมุ่งหมายของรายวิชา แนวปฏิบัติที่ดี อาจารย์ผู้สอนต้องเขียน มคอ.3 รายละเอียดแผนการเรียนรู้ และแจ้งให้ผู้เรียนทราบก่อนเริ่มทำการเรียนการสอน เพื่อเป็นการทำให้ผู้เรียนรู้ว่าจะต้องเรียนอะไร เรียนเพื่ออะไร เรียนทำไม และต้องปฏิบัติตนอย่างไรในขณะที่ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนนอกจากพิจารณาเขียน มคอ3 แล้วอาจารย์ผู้สอนต้องพิจารณาว่าแผนการเรียนรู้ (มคอ.3) ที่เขียนนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์วัตถุประสงค์ของหลักสูตรและรายวิชา แผนการเรียนรู้และการวัดและประเมินผลสอดคล้องกันหรือไม่ ซึ่งต้องอาจพิจารณาปรับปรุงข้อสอบ  วิธีการสอน และการวัดประเมินผล

ปัจจัยที่เกื้อหนุนการจัดการเรียนการสอนประสบความสำเร็จนั้น  อาจารย์ผู้สอนต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการสอน  ต่อผู้เรียน  และต้องมีการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในรายวิชาแต่ละคนว่า ไม่ใช่เป็นการลำเอียง หรือการจับผิดผู้เรียน นอกจากนี้อาจารย์ผู้สอนต้องสร้างแรงจูงใจในการร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน และสร้างแรงจูงใจในการเห็นความสำคัญของการทวนสอบ ว่าไม่ใช่ภาระงานที่หนัก และต้องให้ความร่วมมือในกิจกรรม

 

ด้านเทคนิคในการสอน

อาจารย์ผู้สอนควรเน้นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง  เน้นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้สัมพันธ์กับคนอื่น อาจารย์ผู้สินต้องสร้างบรรยากาศที่ปลุกเร้าแรงจูงใจและเสริมแรงให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนการสอนต้องเน้นทักษะการสื่อสารได้แก่ การฟัง  การพูด  การอ่าน และการเรียน ใช้แหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายเพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์กับชีวิตจริง ต้องจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ซึ่งพบว่าเทคนิคและวิธีสอนที่จะส่งเสริมการวิจัยได้แก่ การสอนแบใช้ปัญหาเป็นฐาน

ด้านการวัดและประเมินผล

–  ต้องวัดและประเมินผลตามสภาพจริง  จุดประสงค์คือ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผล มีส่วนร่วมในการกำหนดเกณฑ์การประเมิน และทวนสอบผลการเรียนได้ด้วยตนเอง

– เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลผู้เรียนควรมีลักษณะที่ส่งเสริมกระบวนการคิด ทักษะทางปัญญา ทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดเชิงระบบ และคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ทักษะ 5 ด้านตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ

ด้านหลักสูตร

          ต้องมีหลักสูตรที่ดี เป็นไปตามความต้องการของตลาดในบริบทปัจจุบัน  จึงควรมีการศึกษา วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชาว่าเนื้อหาสาระที่เป็นองค์ความรู้ซึ่งผู้เรียนควรได้รับนั้นมีความทันสมันต่อโลกยุคปัจจุบันหรือไม่ อาจต้องพิจารณาปรับเพิ่ม-ลดในบางหัวข้อเพื่อใหเหมาะสมกับธรรมชาติของวิชา และบริบทของสังคม และวัฒนธรรม

 

ด้านตัวผู้เรียน

  1. ความพร้อมของผู้เรียนทั้งด้าน คุณธรรม จริยธรรม ความรู้ ทักษะทางปัญญา ทักษะด้านสังคม และทักษะด้านเทคโนโลยี เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริม สนับสนุนให้การจัดการเรียนการสอนประสบผลสำเร็จเนื่องจากเป็นการเรียนในระดับผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่มีงานทำแล้ว อาศัยประสบการณ์ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้เก่ากับใหม่เข้าด้วยกัน และนำสู่การปฏิบัติ แต่หากตัวผู้เรียนมีประสบการณ์ที่ขัดกับองค์ความรู้ใหม่ที่ได้รับอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งขององค์ความรู้
  2. ทักษะด้านอารมณ์ของผู้เรียนอาจก่อปัญหาในการจัดการเรียนการสอน การยอมรับในตัวผู้สอนเมื่อเกิดการขัดแย้งของความรู้เก่า กับความรู้ใหม่ ดังนั้นผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติเพื่อเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีว่าจริงหรือไม่
  3. การคัดเลือกผู้เรียนเข้าสู่ระบบการจัดการเรียนการสอนระดับบัณฑิตศึกษา ควรต้องมีคุณสมบัติที่เป็นไปตามธรรมชาติของหลักสูตรอย่างแท้จริง เช่นสาขาหลักสูตรและการสอน ก็ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาจึงจะเหมาะสม ผู้เรียนสามารถจะมองเห็นประโยชน์ของการศึกษาในกหลักสูตรอย่างถ่องแท้เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์จริงไม่ใช่เพื่อการเพิ่มคุณวุฒิเท่านั้น

 

ด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้

ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญที่สุดในการสนับสนุนสิ่งเรียนรู้  ต้องมีการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนการสอน  ห้องปฏิบัติการ  เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ควรมีความทันสมัย อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ นอกจากนี้วัสดุ อุปกรณ์บางประเภท หรือเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ต้องมีจำนวนเพียงพอต่อการให้บริการ

 

แนวทางปฏิบัติที่ดี

  1. ก่อนการจัดทำแผนการเรียนรู้อาจารย์ผู้สอนควรวิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมของสาระที่เป็นองค์ความรู้ว่าควรปรับเพิ่ม-ลด ให้สอดคล้องกับความรู้ในปัจจุบันนั้นๆ

2.อาจารย์ผู้สอนต้องจัดทำแผนการเรียนรู้ (มคอ.3) ก่อนล่วงหน้าการสอนอย่างน้อย 1 สัปดาห์

  1. ในสัปดาห์แรกของการสอนควรมีการปฐมนิเทศ ชี้แจง รายละเอียดการเรียนการสอน การแจ้งภาระงาน ชิ้นงาน กำหนดเกณฑ์การวัดและประเมินผลที่ชัดเจนร่วมกันระหว่างอาจารย์ผู้สอนกับนักศึกษาให้ชัดเจน
  2. การวัดประเมินผลนักศึกษาต้องครอบคลุมทักษะ5 ด้านตามกรอบมาตรฐานระดับอุดมศึกษาแห่งชาติและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตรวจสอบผลการเรียนรู้ของตนเองได้

5. ก่อนการสอบวัดผลและการประเมิน ข้อสอบ หรือเครื่องมือการประเมินควรส่งให้คณะกรรมการบริหารหลักสูตรร่วมพิจารณาถึงความเหมาะสมว่าครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรหรือรายวิชาหรือไม่